เมนู

535. อรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 5 ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระกุมารกัสสปเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต
สตสหสฺสมฺหิ
ดังนี้.
ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม
ว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บรรลุนิติภาวะแล้ว วัน
หนึ่ง ขณะที่กำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่ง
พระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เสิศกว่าภิกษุผู้กล่าวธรรมถถาอัน
วิจิตร แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง จึงตั้งปณิธานไว้ กระทำบุญ
ทั้งหลาย อันเหมาะแก่ตำแหน่งนั้น ดำรงชีวิตอยู่จนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพ
นั้น ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง 2 แล้ว
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในเรือนอัน มี
สกุล บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว บำเพ็ญ
สมณธรรม ท่องเที่ยวไปเฉพาะในสุคติทั้งหลายอย่างเดียว ได้เสวยทิพยสุข
และมนุษยสุขแล้วในพุทธุปบาทกาลนี้เขาได้บังเกิดในท้องของลูกสาวเศรษฐี
คนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. ทราบว่า ลูกสาวเศรษฐีนั้น ในเวลาที่เป็นเด็ก
หญิงนั้นแล มีความประสงค์จะบวช จึงขออนุญาตมารดาบิดา เมื่อไม่ได้รับ
อนุญาตให้บวชจึงไปยังตระกูลสามี ได้มีครรภ์ แต่ไม่รู้ว่ามีครรภ์นั้น จึงคิด
แล้วว่า เราจักทำให้สามียินดี (ทำให้ถูกใจสามี) แล้วจึงจักขออนุญาตบวช.
เมื่อนางจะทำให้ถูกใจสามี จึงชี้ถึงโทษของสรีระโดยนัยเป็นต้นว่า

ถ้าว่าในภายในของร่างกายนี้ จะพึงกลับ
ออกมาในภายนอกไซร้ บุคคลก็จะต้องถือท่อนไม้
คอยไล่หมู่กาและหมู่สุนัขแน่นอน
ดังนี้.
จึงทำสามีผู้ประเสริฐนั้น ให้ยินดีแล้ว
หญิงนั้น ได้รับอนุญาตจากสามีแล้ว ไม่รู้ว่ามีครรภ์จึงได้บวชใน
หมู่นางภิกษุณีฝ่ายของพระเทวทัต. พวกนางภิกษุณีได้เห็นว่านางมีครรภ์
จึงไปถามพระเทวทัต. พระเทวทัตนั้นตัดสินว่า นางภิกษุณีนี้ไม่เป็นสมณะ.
นางภิกษุณีนั้นจึงคิดว่า เรามิได้บวชอุทิศพระเทวทัต. แต่เราบวชอุทิศ
พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ จึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทูลถามพระ-
ทศพล. พระศาสดา ทรงมอบหมายให้พระอุบาลีเถระรับหน้าที่ไป พระเถระ
สั่งให้เรียกตระกูลชาวพระนครสาวัตถี และนางวิสาขาอุบาสิกามาแล้ว เมื่อจะ
วินิจฉัยเรื่องนั้นพร้อมกับบริษัทผู้มีความขัดแย้ง จึงกล่าวว่า นางได้มีครรภ์
ก่อนบวช ครรภ์ไม่มีอันตรายบวชแล้ว. พระศาสดาได้ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว
ตรัสว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ถูกต้องดีแล้ว จึงทรงประทานสาธุการแก่พระ-
เถระ.
นางภิกษุณีรูปนี้ ได้ตลอดบุตรรูปร่างงดงามดุจทองคำ. พระเจ้า
ปเสนทิโกศล ทรงพระดำริว่า การเลี้ยงดูทารก จะเป็นความกังวลใจแก่พวก
นางภิกษุณี จึงทรงรับสั่งให้แก่พวกญาติแล้ว รับสั่งให้เลี้ยงดู. พวกญาติได้
ตั้งชื่อทารกนั้นว่า กัสสปะ. ในกาลต่อมามารดาประดับตกแต่งแล้ว นำไป
เฝ้าพระศาสดาแล้วทูลขอบรรพชาแล้ว. ก็เพราะท่านบวชในเวลาที่เป็นเด็ก
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเรียกกัสสปะมา พวกเธอจงให้
ผลไม้หรือว่าของที่ควรเคี้ยวนี้แก่กัสสปะ พวกภิกษุจึงทูลถามว่า กัสสปะไหน.

ต่อมาในเวลาเจริญวัยแล้ว จึงปรากฏชื่อว่า กุมารกัสสปะ เพราะตั้งชื่อเสีย
ใหม่ว่ากุมารกัสสปะ และเพราะเป็นบุตรที่พระราชาทรงชุบเลี้ยง.
จำเดิมแต่บวชแล้ว ท่านก็บำเพ็ญวิปัสสนากัมมัฏฐาน และศึกษา
เล่าเรียนพระพุทธวจนะ. ลำดับนั้น ท้าวมหาพรหมผู้เป็นพระอนาคามีเกิด
ในชั้นสุทธาวาส ได้บำเพ็ญสมณธรรมบนยอดภูเขาร่วมกับท่านคิดว่า เราจัก
ชี้ทางวิปัสสนาแล้ว กระทำอุบายเพื่อบรรลุมรรคผลได้ ดังนี้แล้ว จึงแต่ง
ปัญหาขึ้น 15 ข้อแล้ว บอกแก่พระเถระผู้อยู่ในป่าอัมธวันว่า ท่านควรถาม
ปัญหาเหล่านั้น กะพระศาสดา. ทีนั้นท่านจึงทูลถามปัญหาเหล่านั้นกะพระผู้มี
พระภาคเจ้า. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้ทรงวิสัชนาแก่เธอแล้ว. พระเถระ
เล่าเรียนปัญหาเหล่านั้น โดยทำนองที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วทั้งหมด ยัง
วิปัสสนาให้ถือเอาซึ่งห้องแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต.
พระกุมารกัสสปะนั้น พอได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุรพ-
กรรมของตน ได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่คุ้นเคยได้
ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า อิโต สตสหสฺสมหิ ดังนี้
คำใดในคาถานั้น มีเนื้อความซ้ำกับที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลัง คำนั้น
ทั้งหมด ข้าพเจ้าจักไม่พรรณนา ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะบทที่ยาก ๆ
เท่านั้น.
บทว่า อาปนฺนสตฺตา เม มาตา ความว่า มารดาของเรามีครรภ์แก่
เป็นหญิงมีครรภ์ ได้แก่มีครรภ์แก่ใกล้เวลาคลอด. บทว่า วมฺมิกสทิสํ กายํ
ความว่า ขึ้นชื่อว่า สรีระเป็นเช่นกับจอมปลวก พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรง
แสดงคือทรงประกาศไว้ว่าร่างกายนี้มีช่องอยู่ช่อง ซึ่งไหลไปอยู่เป็นนิตย์
เปรียบเหมือนจอมปลวกมีช่องเล็กช่องใหญ่ข้างโน้นข้างนี้ เป็นที่อยู่อาศัยของ
สัตว์ทั้งหลาย เช่น มอดและตัวปลวกเป็นต้น ฉันนั้นเหมือนกัน อธิบายว่า

ครั้นได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จิตของเราไม่ยึดถืออาสวะทั้งหลาย พ้นแล้วจาก
กิเลสได้โดยพิเศษ คือ ดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตผล. ในกาลต่อมา พระ-
ศาสดาได้ทรงทราบจากภิกษุทั้งหลายในที่นั้น ๆ ว่า พระเถระนั้นเป็นผู้กล่าว
ธรรมกถาได้อย่างวิจิตร จึงทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปะนี้ เป็นผู้เลิศแห่งภิกษุสาวกของเรา ผู้กล่าว
ธรรมกถาให้วิจิตรแล.
จบอรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน

พาหิยเถราปทานที่ 6 (536)



ว่าด้วยบุพกรรมของพระพาหิยเถระ



[126] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก มีพระรัศมีใหญ่ เลิศกว่า
ไตรโลก มีพระนามชื่อว่าปทุมุตตระ ได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว
เมื่อพระมุนี ตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุ
ผู้ตรัสรู้ได้เร็วพลันอยู่ เราได้ฟังแล้วชอบใจ จึง
ได้ทำสักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้แสวงหา
คุณอันใหญ่
ถวายทานแด่พระมหามุนีพร้อมด้วยพระ-
สาวกตลอด 7 วัน ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า
แล้วปรารถนาฐานันดรนั้นในกาลนั้น
ลำดับนั้นพระสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์
เราว่า จงดูพราหมณ์ที่หมอบอยู่แทบเท้าของเรานี้